การเพิ่มระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์อย่างจริงจังและเข้มงวดขึ้น
นอกจากการตรวจข่าว หรือเซนเซอร์ข่าวเป็นตัวควบคุมแรก ดังกล่าวไปแล้ว
ยังมีตัวเร่งอัตราการควบคุมหนังสือพิมพ์ให้บีบตัวสูงขึ้น เป็นตัวควบคุมที่สอง
คือ การเพิกถอนใบอนุญาตชั่วคราว และปิดกิจการอย่างดุเดือด เลือดพล่าน ตาต่อตา
ฟันต่อฟัน
ด้วยความเบ่งบานแตกดอกออกผลของความมีเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
หนังสือพิมพ์เป็นดัชนีบ่งชี้ภาพดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
ด้วยปริมาณหนังสือพิมพ์รายวันเกิดขึ้นใหม่สูงถึง 56 ฉบับ ตลอดรัชกาลที่ 7
แต่ดินแดนแห่งเสรีภาพที่หนังสือพิมพ์ฝันหวานไว้นั้น กำลังถูกเชือดนิ่มๆ
จากมาตรการตรวจข่าว หรือเซนเซอร์ข่าว
ประกอบกันประเด็นข่าวร้อนทางการเมืองก็เดือดพล่าน
ได้รุมเร้าเข้ามาไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแตกต่างและแตกแยกทางความคิดภายในคณะกรรมการราษฎรที่บริหารประเทศระหว่าง
2 ขั้วใหญ่ ได้แก่ กลุ่มจารีตนิยม หรือ กลุ่มอนุรักษ์นิยม หรือ
กลุ่มค่อนข้างโอนเอียงนิยมกษัตริย์ หรือ กลุ่มนิยมเจ้า โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
เป็นผู้นำความคิด ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มหลวงประดิษฐมนูธรรม มีแนวความคิดสังคมนิยมแบบประชาธิปไตย
โดยมีหลวงประดิษฐมนูธรรมเป็นผู้นำกลุ่มความคิด และพระยาพหลพลพยุหเสนาสนับสนุน
ในขณะที่การเมืองภายในคณะกรรมการราษฎรยังคุกรุ่นอยู่
และเมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้เป็นนายกรัฐมนตรี และปิดสภา
ยกเว้นรัฐธรรมนูญฉบับประกาศเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 บางมาตรา
อันเนื่องมาจากการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม
เมื่อการเมืองไม่นิ่งในขณะที่หนังสือพิมพ์พร้อมที่จะนำเสนอข่าวอย่างเสรี
แม้ถูกตีตรวนในขั้นแรกด้วยการถูกตรวจข่าว หรือเซนเซอร์ข่าวก็ตาม
ก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นพลังเสรีภาพของของหนังสือพิมพ์ไว้ได้
โดยการลงข่าวและเสนอความคิดเห็นผ่านคอลัมน์ต่างๆ
เพื่อโต้ตอบกลับรัฐบาลในทันทีทันใด รัฐบาลก็ตอบโต้กลับทันควันเช่นกัน
ด้วยการสั่งเพิกถอนใบอนุญาตชั่วคราวหรือสั่งปิดถาวรดังผลการวิเคราะห์ข้างต้น
จึงถือเป็นปรากฏการณ์การลงโทษที่เรียกว่า ดุเดือด เลือดพล่าน ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
การเพิ่มระดับการลงโทษหนังสือพิมพ์อย่างดุเดือด เลือดพล่าน ตาต่อตา
ฟันต่อฟัน เช่นนี้ ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
หลังจากการรัฐประหารโดยพระยาพหลพลพยุหเสนาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2476
และพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งได้เกิดกบฏบวรเดชในเดือนตุลาคม 2476
สภาวการณ์ทางการเมืองขณะนั้นตรึงเครียด ผันผวน แตกแยก และสั่นคลอนอีกระลอกหนึ่ง
หนังสือพิมพ์ได้กลายมาเป็นตัวละครเด่น หรือ ตัวแบ่งขั้วอำนาจการเมืองที่ถูกระบุ
หรือตีตราว่าเป็นหนังสือพิมพ์สังกัดขั้วอำนาจการเมืองใหม่ที่สนับสนุนรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาอย่างเด่นชัดหนังสือพิมพ์หลักๆ
ก็คือ หนังสือพิมพ์ประชาชาติ ศรีกรุง รวมทั้งหนังสือพิมพ์ที่ออกโดยคณะราษฎร ได้แก่
หนังสือพิมพ์เทิดรัฐธรรมนูญ 24 มิถุนา และ สจฺจํฯ
กับหนังสือพิมพ์ขั้วอำนาจหนังสือพิมพ์กษัตริย์นิยม หรือ หนังสือพิมพ์ที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา
หนังสือพิมพ์ขั้วอำนาจการเมืองหลังนี้มักถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตชั่วคราว
หรือปิดกิจการถาวรอยู่เป็นประจำยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหลังเกิดกบฏบวรเดชขึ้นในเดือนตุลาคม
2476 พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบก ได้มีคำสั่งอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก
พ.ศ.2457 ห้ามหนังสือพิมพ์ลงข่าวสารการเมืองก่อนที่เจ้าหน้าที่จะได้ตรวจและอนุญาต
(กวช.(2) สร. 0201.92/10, สำเนา หนังสือ พ.ล.พระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้บัญชาการทหารบก
แจ้งความมายังผู้ทำการแทนพระสมุหพระนครบาล 17 ตุลาคม 2476)
โดยมุ่งเป้ามาที่หนังสือพิมพ์ในเครือบริษัทสยามฟรีเปรส เป็นหลัก
มีผลเชื่อมโยงมาจากพระยาศราภัย พิพัฒและนายหลุย คีรีวัต
ผู้จัดการและผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ในกลุ่มบริษัทสยามฟรีเปรส
เป็นผู้ร่วมก่อการกบฏบวรเดชขึ้น รัฐบาลได้จัดตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาโทษผู้ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งพระยาศราภัยพิพัฒและนายหลุย คีรีวัต ถูกตัดสินว่าเป็นขบถต่อราชอาณาจักร
ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ในที่สุดได้รับลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
นอกจากนี้นักหนังสือพิมพ์ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯเดลิเมล์ 2 คน ได้แก่ นายเทอญ
มหาเปารยะ และนายชะอ้อน อำพล ยังถูกจับกุมด้วยข้อหาเดียวกัน
จึงมีผลให้หนังสือพิมพ์ในเครือบริษัทสยามฟรีเปรสต้องปิดตัวลงอย่างถาวร
หนังสือพิมพ์ในช่วงหลังการเกิดกบฏบวรเดชแล้ว
ก็ยังปรากฏภาพการสั่งปิดหนังสือพิมพ์ชั่วคราวอย่างไม่ขาดสาย
อันเนื่องมาจากข้อหาที่กองโฆษณาการห้าม หรือ
ไม่ส่งต้นฉบับข่าวสารการเมืองให้กองโฆษณาการตรวจเสียก่อน
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ไทเมือง ความเห็นราษฎร หลักเมือง เสรีภาพ
รัฐบาลได้ให้อำนาจแก่กระทรวงมหาดไทยในการสั่งปิดหนังสือพิมพ์ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี
หนังสือพิมพ์จึงตกอยู่ในภาวะถูกสั่งปิด 2-3 วัน หรือยาวกว่านั้น
เตือนและดูความประพฤติ แล้วสั่งให้เปิดตีพิมพ์ได้ใหม่
หนังสือพิมพ์ที่ถูกสั่งปิดชั่วคราวมักจะซ้ำหน้าเดิมๆ
มีผลให้สภาพการณ์ของการไหลเวียนการสื่อสารการเมืองผ่านหนังสือพิมพ์หยุดชงักอย่างกะทันหันขาดช่วง
ไม่ต่อเนื่อง ทำให้สภาพคล่องในการไหลเวียนการสื่อสารการเมืองต่ำ
วงจรชีวิตของหนังสือพิมพ์สั้น อาการของหนังสือพิมพ์ในช่วงนี้อาจเรียกว่า “หนังสือพิมพ์ลักปิด-ลักเปิด”
รวมทั้ง “หนังสือพิมพ์ถูกคุมกำเนิด” เนื่องจาก
รัฐบาลมีนโยบายไม่ออกใบอนุญาตให้แก่เจ้าของและบรรณาธิการรายใหม่
ทั้งๆที่มีผู้ประสงค์ยื่นขอเพื่อออกหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่เป็นจำนวนมาก
โดยให้เหตุผลว่า มีหนังสือพิมพ์จำนวนมากฉบับแล้ว ถ้าอนุญาตอีกจะยากแก่การควบคุม
(กจช.(2) สร. 0201.92/16 หนังสือนายดำริห์ ปัทมะศิริ
นักหนังสือพิมพ์เรียนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 12 ธันวาคม 2476)
.................................................................................................................................................
รองศาสตราจารย์ ดร. พรทิพย์ ดีสมโชค.(2011). แนวความคิดและวิธีการสื่อสารการเมื่อง. กรุงเทพฯ : สภาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, หน้า 52-54.
No comments:
Post a Comment