จากช่วง พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2477
มีปริมาณของหนังสือพิมพ์ที่มีประวัติถูกเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นเจ้าของและบรรณาธิการสูงถึง
13 ฉบับ ดังแสดงให้เห็นในตารางที่ 4
เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
โดยคณะราษฎร ได้ปรากฏความขัดแย้งทางแนวความคิดทางการเมืองโดยแสดงออกเป็นเชิงคัดค้านและไม่เห็นด้วยทางหน้าหนังสือพิมพ์ต่อนโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งสอง
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา และรัฐบาลชุดพระยาพหลพลพยุหเสนา
รัฐบาลทั้งสองจึงพยายามขจัดและลดปัญหาดังกล่าวในเร็ววัน
วิธีการหนึ่งที่ถูกเลือกนำมาใช้ก็คือ การใช้กลไกของกฎหมาย เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา
แต่กลับมีผลสะท้อนมายังรัฐบาลในยุคที่ต้องการให้เกิดสิทธิและเสรีภาพขึ้นในสังคม
ได้บ่งชี้ระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์ที่เข้มงวดของรัฐบาลเข้ามาแทนที่
เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง
จึงจำเป็นต้องย้อนรอยตั้งแต่ต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
จนสิ้นรัชกาล พบว่ามีกฎหมายที่นำมาบังคับใช้โดยเฉพาะกับหนังสือพิมพ์จำนวนทั้งสิ้น
3 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470 พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์
แก้ไขและเพิ่มเติม พ.ศ.2475 และพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2476
ซึ่งได้รับการบัญญัติขึ้นตามบริบทการปกครอง ดังแสดงในตารางที่ 5
ตารางที่ 5 พระราชบัญญัติสมุด
เอกสารและหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470 พระราชบัญญัติสมุด เอกสารและหนังสือพิมพ์
แก้ไขและเพิ่มเติม พ.ศ.2475 และพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2476
ชื่อพระราชบัญญัติหลักที่ได้รับการบัญญัติขึ้นในบริบทการเมือง
|
ระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์
|
||||
เจ้าของต้องขออนุญาตใช้เครื่องพิมพ์
|
การเป็น บ.ก.
|
การถอนใบอนุญาต
|
การตรวจข่าว
(cencer)
|
||
ไม่ขัดต่อความสงบ/ศีลธรรม
|
วุฒิการศึกษา
|
||||
1.พรบ. สมุด เอกสาร
และหนังสือ พ.ศ. 2470
↓
สมัสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประกาศ 5 กันยายน 2470
|
/
|
/
|
ประโยค ม.6 หรอเทียบเท่า
|
สมุหพระนครบาล สมุหเทศาภิบาล
1.ตักเตือนก่อน
2.ถอนชั่วคราว
3.สามารถขออนุญาตใหม่ โดยวางเงินประกัน 2,000บาท ในการขอใหม่ แต่ถ้าถูกเพิกถอนใบอนุญาตอีก
จะถูกริบเงินทันที
4.เพิกถอนถาวร
|
|
2.พรบ. สมุด เอกสาร
และหนังสือ พ.ศ. 2475
↓
คณะราษฎร ประกาศ 29 กันยายน 2475
|
/
|
/
|
/
|
ม.5,7และ15 ถอนใบอนุญาต และถ้า นสพ.มิได้ออกต่อเนื่องเป็นเวลา 30
วัน ใบอนุญาตออก นสพ. เป็นอันสิ้นสุดลง
|
เพิ่มอำนาจให้สมุหพระนครบาล/สมุหเทศาภิบาลตรวจข่าว
โดยแต่งตั้งเจ้าพนักงานตรวจข่าว ม.4และ5 ให้ตรวจข่าวราชการ
ข่าวทหารและข่าวต่างประเทศ
|
3.พรบ. สมุด เอกสาร
และหนังสือ พ.ศ. 2476
↓
พระยาพหลพลยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศในรากฤษฎีกา 11 มกราคม
2476
|
/
|
หากมีวุฒิไม่ถึง ม.6 ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความรู้
|
ให้ บก. มีสิทธิอุทธรณ์
การถูกเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อขอใหม่ได้ทันทีไม่ต้องดูความประพฤติ 1 ปี
และวางเงินประกันไม่เกิน 2,000 บาท ทางการยึดไว้ตลอด
แต่ถ้าประพฤติผิดจนถูกเพิกถินใบอนุญาตอีกจะถูกยึดเงินประกันทันที
|
จากตารางดังกล่าวข้างต้น
ช่วยบ่งชี้ความแตกต่างของบริบททางการปกครองระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์
รวมทั้งผลกระทบของการเมืองต่อการสร้างความบิดเบี้ยวให้แก่หนังสือพิมพ์
และการตื่นจากความฝันของหนังสือพิมพ์ อันเป็นสืบเนื่องจากการตราพระราชบัญญัติสมุด
เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470 พระราชบัญญัติสมุด เอกสารและหนังสือพิมพ์
แก้ไขและเพิ่มเติม พ.ศ.2475 และพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2476
แม้จะเกิดในรัชสมัยเดียวกัน แต่ต่างบริบทการปกครองดังนี้
2.1
ความแตกต่างของบริบทการปกครอง พระราชบัญญัติทั้งสามข้างต้นมีจุดกำเนิดในบริบทการเมืองที่แตกต่างกัน
จึงมีผลให้สาระบัญญัติสำคัญของกฎหมายแต่ละฉบับนั้นมีระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์แตกต่างกันไปด้วย
ซึ่งเป็นดัชนีบ่งชี้หลักของความมีเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ใน 2 ช่วง ได้แก่
ช่วงแรก
คือ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินสยามตั้งแต่ขึ้นเสวยราชสมบัติเมื่อวันที่ 26
พฤศจิกายน 2468 ถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
สภาวการณ์เจริญเติบโตของหนังสือพิมพ์ขณะนั้น มีอัตราเจริญเติบโตถึง 4
เท่าในสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
เกือบทุกฉบับพิมพ์และออกจำหน่ายในพระนคร (Batson 1984) หนังสือพิมพ์เกิดใหม่ฉบับรายวัน จำนวน 56 ฉบับ และไม่ใช่รายวันถึง 136
ฉบับ พิมพ์และออกจำหน่ายในพระนคร มีเพียงฉบับเดียวที่เป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น คือ
หนังสือพิมพ์ศรีเชียงใหม่เป็นราย 10 วัน ออกจำหน่ายที่เชียงใหม่
ส่วนยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ในพระนครสูงเพียงไม่กี่พันฉบับ
แต่มีอิทธิพลในกลุ่มประชาชนที่มีปากมีเสียง
ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิดตลาดเสรีให้แก่หนังสือพิมพ์
และทรงต้องการให้หนังสือพิมพ์มีประโยชน์ต่อประชาชนจริงๆ ดังพระองค์ทรงกล่าวว่า “…เราไม่ต้องการปิดปากหนังสือพิมพ์
แต่ต้องการให้ใช้ประโยชน์ได้จริงๆ...” (กจช. ร.7 รล. 19.1/1
พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงเจ้าพระยายมราช เมื่อวันที่ 19
มกราคม 2468) แบตสัน (Batson 1984) ได้วิเคราะห์พระบรมราโชบายของพระองค์ว่า
ในทางปฏิบัติจริงต่อหนังสือพิมพ์
ค่อนข้างยืดหยุ่นส่วนมากแล้วมักจะเป็นการตักเตือนมากกว่าจะสั่งปิด
ถ้าสั่งปิดก็มักจะเป็นการชั่วคราว
ยกเว้นแต่ในกรณีที่เห็นว่าทำผิดร้ายแรงทางการเมืองมากๆ
ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพรุนแรง ดังเช่นหนังสือพิมพ์สยามรีวิว และหนังสือพิมพ์ราษฎร
ถูกสั่งปิดถาวร
ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางเพื่อช่วยกำกับดูแลหนังสือพิมพ์ให้อยู่ภายในกรอบหน้าที่ของสื่อสารมวลชนที่ดี
พระองค์จึงจำเป็นต้องให้มีการตราพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์
พ.ศ.2470 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2470
ช่วงที่สอง
คือ สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎร
พระมหากษัตริย์เปลี่ยนสถานภาพมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญอยู่ 2
ระลอกๆ แรก คณะราษฎร ในสมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีได้บัญญัติพระราชบัญญัติสมุด
เอกสาร และหนังสือพิมพ์แก้ไขและเพิ่มเติม พ.ศ.2475 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 29
กันยายน 2475 ระลอกที่สอง พระยาพหลพลพยุหเสนา
เป็นนายกรัฐมนตรีได้กำหนดพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2476 ขึ้นใหม่
ตามพระราชกฤษฎีกาลงวันที่ 11 มกราคม 2476
พระราชบัญญัติทั้งสองเกิดขึ้นในบรรยากาศหนังสือพิมพ์ที่น่าจะมีเสรีภาพ
รัฐบาลได้ประกาศให้สิทธิเสรีภาพแก่หนังสือพิมพ์
โดยมีการอนุญาตให้หนังสือพิมพ์แต่ละฉบับส่งตัวแทนเข้าฟังการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้
และโดยเฉพาะพระยาพหลพลพยุหเสนานายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่า
ไม่ชอบการใช้อำนาจปิดปากหนังสือพิมพ์
แต่ถ้าจะมีการปิดหนังสือพิมพ์ก็ต่อเมื่อมีการไต่สวนพิจารณาอย่างชัดเจนเสียก่อนว่า
หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมีเจตนามุ่งร้ายต่อชาติ
แต่ในทางปฏิบัติหนังสือพิมพ์กลับถูกเพิกถอนใบอนุญาตทั้งชั่วคราวและถาวรสูงถึง 13
ฉบับ มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา ดังการวิเคราะห์จากตารางที่ 4
การถอนใบอนุญาตการเป็นเจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ระหว่าง พ.ศ.2475 ถึง
พ.ศ.2477 เป็นภาพสะท้อนสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
2.2 ระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์ ตลอดมาจนถึงช่วงต้นราชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่
24 มิถุนายน 2475 หนังสือพิมพ์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้มีเสรีภาพเสมอมา
การควบคุมหนังสือพิมพ์จึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายๆปัจจัยหลัก
คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็คือ เกิดจากตัวของหนังสือพิมพ์เอง
ควบคู่ไปกับผู้ปกครองประเทศในช่วงเวลานั้นๆ
เป็นปัจจัยทางการเมืองเข้ามากำหนดชะตาชีวิตของหนังสือพิมพ์
ที่สร้างและยิ่งทวีระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์เป็นลำดับ
ดังนั้น
ระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่าง
พ.ศ.2468 ถึง พ.ศ.2477 มีจุดเริ่มต้นจากการกำกับดูแลอย่างยืดหยุ่นหรือหลวมๆ
แห่งพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470
แล้วได้เพิ่มระดับก้าวสู่การควบคุม คือ การตรวจข่าว หรือเซนเซอร์ข่าว (censor) อย่างเคร่งครัด
และเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อเป็นการระงับการตีพิมพ์เผยแพร่ชั่วคราว และสั่งปิดกิจการถาวรมีความถี่สูงขึ้นๆเป็นลำดับ
จากผลการประกาศใช้พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ แก้ไขและเพิ่มเติม
พ.ศ.2475 และพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2476 รวมทั้งฐานคติของผู้ปกครองประเทศ
ดังนี้
ระดับการกำกับดูแลอย่างยืดหยุ่นหรือหลวมๆ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตราพระราชบัญญัติสมุด
เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470 สาระบัญญัติสำคัญของพระราชบัญญัตินี้
มุ่งคัดสรรกลั่นกรองบุคคลที่เข้ามาประกอบอาชีพหนังสือพิมพ์เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพให้สูงขึ้นได้
พร้อมทั้งได้วางแนวทางเตือนและกำกับดูแลตนเอง (self
regulation) ของหนังสือพิมพ์ให้อยู่ในทิศทางตามครรลองครองธรรม
ดังสาระบัญญัติสำคัญ 3 ประการต่อไปนี้
ประการแรก คือ
ใบอนุญาตการพิมพ์และกิจการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมบุคคล 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มแรก
มุ่งไปที่เจ้าของโรงพิมพ์ ต้องขออนุญาตการพิมพ์ต่อสมุหพระนครบาลฯ
มีอำนาจจะไม่อนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาตชั่วคราวหรือตลอดไป และกลุ่มที่สอง
มุ่งไปที่เจ้าของหนังสือพิมพ์
และบรรณาธิการให้ยื่นขออนุญาตประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ต่อสมุหพระนคร
หรือสมุหเทศาภิบาล เหตุผลที่จะไม่ออกใบอนุญาตให้แก่ทั้งสองกลุ่ม คือ
เป็นต้นเหตุทำลายความสงบราบคาบ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
และโดยเฉพาะห้ามมิให้ออกใบอนุญาตแก่บุคคลที่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์
และบรรณาธิการดังต่อไปนี้
ก.
บุคคลซึ่งไม่มีความสามารถเต็มตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ข.
ไม่มีเคหสถานอยู่ในกรุงสยาม
ค.
ทหารและข้าราชการประจำ ถ้าวัตถุประสงค์ของหนังสือพิมพ์เป็นไปทางการเมือง
ง.
เคยถูกพิพากษาจำคุกเพราะกระทำความผิดอย่างใดๆ ยกเว้นความผิดลหุโทษ คือ
ความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือความผิดอันได้กระทำโดยฐานประมาท
ประการที่สอง คือ
การกำหนดวุฒิการศึกษาของบรรณาธิการ พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์
พ.ศ.2470 นี้
ถือเป็นกฎหมายหนังสือพิมพ์ฉบับแรกที่ให้ความสำคัญต่อบรรณาธิการอย่างน้อยต้องมีวุฒิการศึกษา
หรือภูมิความรู้สอบได้ประโยคมัธยม 6 หรือเทียบเท่า คือ
มีความรู้รอบตัวเป็นที่พอใจเจ้าพนักงานพิจารณาให้ใบอนุญาต
ประการที่สาม
คือ มาตรการกำกับดูแล
เมื่อหนังสือพิมพ์เริ่มส่อเค้าการประพฤติออกนอกลู่นอกทางต่อวิชาชีพ
จะมีการเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน
แต่ถ้ายังฝ่าฝืนก็จะเพิกถอนใบอนุญาตความเป็นเจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชั่วคราว
ในขณะที่ถูกถอนใบอนุญาต เจ้าของหนังสือพิมพ์
และบรรณาธิการดังกล่าวสามารถยื่นขอรับใบอนุญาตใหม่ได้อีกภายหลังผ่านไป 1
ปีโดยพิจารณาจากความประพฤติ และมีเงื่อนไขว่า จะต้องวางเงินประกันเป็นจำนวนไม่เกิน
2 พันบาท ซึ่งจะถูกริบเมื่อถูกเพิกถอนใบอนุญาตอีก เป็นการถูกถอนใบอนุญาตถาวร คือ
ปิดกิจการหนังสือพิมพ์และบุคคลนั้นไม่สามารถเป็นเจ้าของและบรรณาธิการได้ต่อไป
ระดับการควบคุมอย่างเข้มงวดขึ้น
จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญในการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของหนังสือพิมพ์ที่คาดหวังว่าหนังสือพิมพ์จะได้รับเสรีภาพในฐานะสื่อสารมวลชนสูงขึ้น
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น
กลับเป็นการถูกโซ่ตรวนค่อยๆ พันธนาการตัวเองมากยิ่งขึ้นทุกๆที ดังสะท้อนให้เห็นได้จากผลวิเคราะห์ในตารางที่
4 การเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นเจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ระหว่าง พ.ศ.2475 ถึง
พ.ศ.2476 จำนวนสูงถึง 13 ฉบับ
เป็นอัตราที่สูงมากกว่าอดีตที่ผ่านมาในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันเป็นผลจากการใช้
พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ แก้ไขและเพิ่มเติม พ.ศ.2475
และพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2476 สาระบัญญัติสำคัญของพระราชบัญญัติทั้งสอง
ซึ่งเพิ่มระดับสู่การควบคุมหนังสือพิมพ์อย่างกวดขันเข้มงวดเริ่มจากการตรวจข่าว
หรือ การเซนเซอร์ข่าว และการใช้มาตรการเพิกถอนใบอนุญาตและปิดกิจการหนังสือพิมพ์ “
อย่างดุเดือด เลือดพล่าน ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ”
.................................................................................................................................................
รองศาสตราจารย์ ดร. พรทิพย์ ดีสมโชค.(2011). แนวความคิดและวิธีการสื่อสารการเมื่อง. กรุงเทพฯ : สภาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, หน้า 41-48.
No comments:
Post a Comment