ตัวควบคุมแรก คือ การตรวจข่าว ปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคที่เรียกขานตนเองว่า ประชาธิปไตย คือ
การตรวจข่าว หรือ การเซนเซอร์ข่าว (censor) เกิดขึ้นครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
หนังสือพิมพ์ได้แสดงความคิดเห็นทั้งสนับสนุน และไม่เห็นด้วยต่อคณะราษฎร
ในรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติสมุด
เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470
สั่งเพิกถอนใบอนุญาตเจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคณะราษฎร
อย่างไม่ไว้หน้ากันทันทีจน “กรุงเทพฯ เดลิเมล์”
หนังสือพิมพ์แกนนำออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพให้แก่หนังสือพิมพ์
ดังได้ลงภาพวาดชื่อ “หวัง”
เป็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งบนโขดหินริมฝั่งทะเลในมือถือหนังสือพิมพ์
ที่ปากถูกล็อคไว้ด้วยแม่กุญแจ ที่ทะเลมีดวงอาทิตย์เขียนข้อความว่า
ราษฎรทั้งหลายจะได้รับเสรีภาพโดยมุ่งหวังให้คณะราษฎรยกเลิกพระราชบัญญัติสมุด
เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470 ณ ช่วงเวลานั้น
คณะราษฎรได้พยายามสร้างความนิยมและความชอบธรรมเพื่อแสดงตนว่าได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อย่างน้อยก็ไม่ได้ลิดรอนเสรีภาพของหนังสือพิมพ์อย่างสิ้นเชิง จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติสมุด
เอกสาร และหนังสือพิมพ์ แก้ไขและเพิ่มเติม พ.ศ.2475
เพิ่มผ่อนคลายบรรเทาโทษลงจากการเพิกถอนใบอนุญาต
เป็นการต้องถูกตรวจข่าวก่อนการตีพิมพ์ หรือเซนเซอร์ข่าวแทน
เพื่อช่วยให้หนังสือพิมพ์ไม่ต้องหยุดการตีพิมพ์ ตามมาตรา 12 ความว่า
... มาตรา 12
เมื่อสมุหพระนครบาลหรือสมุหเทศาภิบาลได้มีคำสั่งให้หนังสือพิมพ์ใดเสนอข้อความให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจข่าวตรวจเสียก่อน
แต่บรรณาธิการหนังสือพิมพ์นั้นบังอาจขัดขืนโฆษณาหนังสือพิมพ์นั้นโดยมิได้เสนอหนังสือพิมพ์ต่อเจ้าพนักงานผู้ตรวจข่าว
ท่านว่ามีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ...
จากผลบังคับของมาตรา 12 ข้างต้น ในสาระบัญญัติสำคัญของการตรวจข่าว
เป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับการควบคุมการนำเสนอเนื้อหาสาระข่าวสารของหนังสือพิมพ์อย่างเข้มงวดขึ้นอีกระดับหนึ่ง
เนื่องจากคณะราษฎรยังคงมีความพะวงกับความไม่มั่นคงในความเชื่อมั่นในหมู่นักการเมืองในกลุ่มอนุรักษ์นิยม
หรือกลุ่มจารีตนิยม หรือกลุ่มนิยมเจ้าที่มีอยู่ทั้งในและนอกคณะราษฎร
อีกทั้งยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับคณะราษฎรโดยตรง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ยังต้องควบคุมหนังสือพิมพ์ด้วยวิธีเชือดนุ่มๆ
ด้วยการตรวจข่าวก่อนการตีพิมพ์
การตรวจข่าว
หรือเซนเซอร์ข่าว ยิ่งเพิ่มความเข้มข้นแห่งระดับการควบคุมหนังสือพิมพ์มากยิ่งขึ้น
ดังสะท้อนจากช่วงที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี หลังการประกาศปิดสภาผู้แทนราษฎร
และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งเรียกเหตุการณ์นี้ว่า รัฐประหารโดยพระราชกฤษฎีกา 1
เมษายน 2476 (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
2549) และมีแถลงการณ์ของรัฐบาล (ราชกิจจานุเบกษา 50 แผนกกฤษฎีกา 2476)
ชี้แจงการกระทำดังกล่าวว่า ในคณะรัฐมนตรีได้แตกออกเป็น 2 พวก
มีความเห็นแตกต่างกันและไม่สามารถจะคล้อยตามกันได้
ทั้งนี้มีความเห็นส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นด้วยกับนโยบายเศรษฐกิจหรือเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรมที่มีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์
แต่ความเห็นส่วนมากมีความเห็นว่า นโยบายเศรษฐกิจนั้นเป็นอันตรายต่อประเทศ
ผลการประกาศปิดสภาดังกล่าวทำให้คณะรัฐบาลที่เข้ามาปกครองประเทศโดยความเห็นของสภาเป็นอันยุติลงด้วย
พระยามโนปกรณ์นิติธาดาจึงได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ภายในวันเดียวกันนั้น
โดยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ประกอบด้วยบุคคลในคณะรัฐมนตรีชุดเดิม
ยกเว้นหลวงประดิษฐมนูธรรม นายแนบ พหลโยธิน นายตั้ว พลานุกรม และพระยาประมวลวิทพูล
ทั้งนี้บุคคลทั้งสามให้การสนับสนุนต่อเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม
หลังจากประกาศปิดสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 แล้ว
ทางรัฐบาลได้ควบคุมการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ โดยการขอตรวจข่าวก่อน
เริ่มขบวนการเซนเซอร์ข่าวจาก
ขบวนการแรก
คือ เปิดแถลงข่าวหนังสือพิมพ์ พระยาเพ็ชราสัย ศรีสวัสดิ์ สมุหพระนครบาล
ได้เชิญผู้แทนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
มาร่วมประชุมทำความเข้าใจเรื่องประกาศสั่งปิดสภาผู้แทนราษฎรไม่มีกำหนด
และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่
พร้อมมีคำกล่าวตักเตือนหนังสือพิมพ์ให้ต้องระมัดระวังในการนำเสนอข่าว
และนำข่าวมาให้ตรวจหรือต้องถูกเซนเซอร์ข่าวก่อน ตามบทบังคับในพระราชบัญญัติสมุด
เอกสาร และหนังสือพิมพ์ แก้ไขและเพิ่มเติม พ.ศ.2475 ดังความตอนหนึ่งว่า
... เป็นเวลาสำคัญที่หนังสือพิมพ์ต่างๆ
จะต้องระมัดระวังเพื่ออย่าให้เกิดความเข้าใจผิด หรือ
เป็นไปในทางส่งเสริมให้เกิดความไม่เรียบร้อย
ถ้าหนังสือพิมพ์ใดลงข้อความที่อาจโน้มนำให้เข้าใจผิดหรือคิดเห็นในทางไม่เป็นสวัสดิภาพ
หรือเป็นการก่อร้ายรัฐบาล หรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชน
ในทางอันไม่ควรแล้ว อาจ มีผิดหรืออย่างน้อยอาจต้องถูกเซนเซอร์ข่าว
นั้นตามพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2475 ...
(“สมุหเตือนหนังสือพิมพ์ให้ระมัดระวัง” ประชาชาติ 3 เมษายน 2476 : 2)
ขบวนการสอง
คือ มีหนังสือแจ้งไปยังโรงพิมพ์
เพื่อเป็นการย้ำเตือนโรงพิมพ์จึงมีหนังสือแจ้งไปยังโรงพิมพ์ความว่า “...
ห้ามพิมพ์เอกสารซึ่งแสดงไปในทางการเมืองหรือนโยบายรัฐบาล
หรือเหลื่อมไปในทางลัทธิคอมมิวนิสต์ หากเอกสารใดที่สงสัยว่าจะเป็นเช่นดังกล่าว
ให้นำเสนอพิจารณาเสียก่อน มิฉะนั้นอาจสั่งปิดโรงพิมพ์ทันที ...”
(“สมุหเตือนหนังสือพิมพ์ให้ระมัดระวัง” ประชาชาติ 3 เมษายน 2476 : 2)
ขบวนการสาม คือ ตั้ง
“กรมโฆษณาการ”
รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้จัดตั้งกรมโฆษณาการขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม
2476 เพื่อเผยแพร่การดำเนินการทำงานของรัฐบาล
และมีหน้าที่กลั่นกรองข่าวรัฐบาลที่จะสื่อสารไปยังประชาชนดังนั้น
กรมโฆษณาการจึงเป็นผู้ให้ข่าวเพียงแหล่งเดียวแก่หนังสือพิมพ์เท่านั้นหน่วยราชการอื่นๆไม่มีสิทธิให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์
จนหนังสือพิมพ์ประชาชาติได้เสนอคำวิจารณ์กรมโฆษณาว่าไม่มีประโยชน์สำหรับประชาชน
เนื่องจากมีการเสนอข่าวเฉพาะบางแง่บางมุมเท่านั้น เป็นการจำกัดข่าว (ประชาชาติ 30
พฤษภาคม 2476)
ขบวนการสี่ คือ ห้ามข้าราชการประจำเขียนข่าว
รัฐบาลได้มีคำสั่งห้ามข้าราชการประจำเขียนข่าวใดๆ
เพื่อตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั่วไป เว้นแต่ว่ารัฐบาลจะได้จักสรรพื้นที่
หรือคอลัมน์เฉพาะไว้ให้ตีพิมพ์เท่านั้น
.................................................................................................................................................
รองศาสตราจารย์ ดร. พรทิพย์ ดีสมโชค.(2011). แนวความคิดและวิธีการสื่อสารการเมื่อง. กรุงเทพฯ : สภาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, หน้า 48-51.
No comments:
Post a Comment